พระเยซูสอนเรื่องการอธิษฐาน
(มธ. 6:9-15)
1มีครั้งหนึ่งที่พระเยซูอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาบอกว่า “อาจารย์ช่วยสอนพวกเราอธิษฐานหน่อยครับ เหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขา”
2พระเยซูบอกว่า “เมื่อพวกคุณอธิษฐาน ให้พูดอย่างนี้ว่า
‘พระบิดา ขอให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือเสมอ
ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ในโลกนี้
3ขอช่วยให้เรามีอาหารกินในทุกๆวัน
4ขอช่วยยกโทษให้กับความบาปของพวกเรา
เหมือนกับที่เรายกโทษให้กับคนอื่นที่ทำบาปต่อเรา
แล้วขออย่าปล่อยให้เราแพ้ต่อการยั่วยวน’”
ต้องขอต่อไปเรื่อยๆ
(มธ. 7:7-11)
5แล้วพระเยซูพูดต่อไปว่า “สมมุติว่ามีเพื่อนมาเยี่ยมคุณตอนเที่ยงคืน แต่บ้านคุณไม่มีอะไรจะให้เขากินสักอย่าง คุณก็เลยไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง และร้องเรียกว่า ‘นี่ เพื่อนขอยืมขนมปังสักสามก้อนสิ
6พอดีมีเพื่อนมาเยี่ยม แต่ที่บ้านไม่มีอะไรจะให้เขากินเลย’
7เพื่อนคนนั้นที่อยู่ในบ้านร้องตอบว่า ‘อย่ายุ่งน่า ประตูก็ลงกลอนแล้ว ฉันกับลูกๆก็นอนกันอยู่บนเตียงนี้หมดแล้ว จะลุกไปหยิบอะไรให้ไม่ได้แล้ว’
8เราจะบอกให้รู้ว่า ถึงแม้เขาจะไม่ลุกขึ้นมาหยิบให้เพราะความเป็นเพื่อนกัน แต่เขาจะลุกขึ้นมาหยิบให้เท่าที่คุณอยากได้ เพราะทนการตื๊อแบบหน้าด้านๆของคุณไม่ไหว
9เราขอบอกให้รู้ว่า ขอสิแล้วจะได้ หาสิแล้วจะพบ เคาะสิแล้วประตูจะเปิดให้
10เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่หาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะ ประตูก็จะเปิดให้
11มีใครบ้างในพวกคุณ ถ้าลูกขอปลา แล้วจะให้งูพิษแทน
12หรือเมื่อลูกขอไข่แล้วจะส่งแมงป่องให้แทน
13แม้แต่พวกคุณที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีๆกับลูกของคุณเลย แล้วพระบิดาบนสวรรค์ล่ะ จะไม่ยิ่งพร้อมที่จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ กับคนที่ขอจากพระองค์หรือ”
อำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า
(มธ. 12:22-30; มก. 3:20-27)
14วันหนึ่งพระเยซูไล่ผีชั่วออกจากชายคนหนึ่งที่เป็นใบ้ เมื่อผีออกไปแล้ว ชายคนนั้นก็พูดได้ ทำให้ชาวบ้านประหลาดใจมาก
15แต่บางคนพูดว่า “เขาใช้ฤทธิ์อำนาจของ เบเอลเซบูลหัวหน้าผี ขับไล่ผีชั่วพวกนั้นออกไป”
16บางคนก็เรียกให้พระองค์ทำเรื่องอัศจรรย์ให้ดู เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์มาจากพระเจ้าจริง
17พระเยซูรู้ถึงความคิดนั้น จึงตอบไปว่า “อาณาจักรที่แตกแยกกันจะถูกทำลาย และบ้านไหนที่ทะเลาะกันเองก็จะพังพินาศ
18ถ้าซาตานต่อสู้กับตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร คุณหาว่าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูล ขับไล่พวกผีชั่วนั้น
19และถ้าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูลขับไล่พวกผีชั่วนั้น แล้วพวกของคุณใช้ฤทธิ์อำนาจของใครขับไล่พวกผีชั่วนั้นล่ะ ดังนั้น พวกศิษย์ของคุณเองจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับเรานั้นผิด
20แต่ถ้าเราใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าขับผีชั่ว ก็แสดงว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพวกคุณแล้ว
21เมื่อมีเจ้าของบ้านที่แข็งแรงและมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านอยู่ ทรัพย์สินของเขาก็ปลอดภัย
22แต่ถ้ามีคนที่แข็งแรงกว่าบุกเข้ามาเอาชนะเขา และยึดเอาอาวุธที่เขาใช้ป้องกันตัวไป เมื่อถึงตอนนั้น ก็ปล้นเอาทรัพย์สินของเขาไปแบ่งปันกันได้
23คนที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเรา ก็ต่อต้านเรา และคนที่ไม่ช่วยเรารวบรวมฝูงแกะ ก็เป็นคนที่ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป
คนที่ว่างเปล่า
(มธ. 12:43-45)
24เมื่อผีชั่วออกมาจากร่างของคนหนึ่งแล้ว มันก็ร่อนเร่ไปตามที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เพื่อหาที่หยุดพัก แต่ก็หาไม่พบ มันจึงพูดว่า ‘กลับไปบ้านเก่าที่ออกมาดีกว่า’
25แล้วมันก็กลับไป พบว่าบ้านหลังนั้นถูกเก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย
26มันจึงไปชวนผีที่ชั่วร้ายกว่ามันมาอีกเจ็ดตัว เข้ามารวมกันอยู่ที่บ้านหลังนั้น สุดท้ายสภาพของคนๆนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก”
ผู้ที่มีเกียรติจริงๆ
27เมื่อพระเยซูเล่าเรื่องนี้อยู่ ก็มีหญิงคนหนึ่งในฝูงชนร้องขึ้นมาว่า “คนที่คลอดท่านมาและให้ท่านดูดนม ถือว่ามีเกียรติจริงๆ”
28แต่พระองค์พูดว่า “ใช่ แต่คนที่ฟังและทำตามถ้อยคำของพระเจ้า ก็มีเกียรติยิ่งกว่า”
พิสูจน์ให้พวกเราดูสิ
(มธ. 12:38-42; มก. 8:12)
29เมื่อมีชาวบ้านมามากขึ้น พระเยซูก็พูดว่า “คนสมัยนี้ชั่วร้ายเรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์ให้ดู แต่เราจะไม่ทำให้ดู นอกจากการอัศจรรย์ของโยนาห์11:29 โยนาห์ คือ ผู้พูดแทนพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หลังจากอยู่ในท้องปลา 3 วันก็ออกมามีชีวิตต่อ
30สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้ชาวนีนะเวห์รู้ว่า พระเจ้าส่งโยนาห์มา และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ก็จะเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้คนในสมัยนี้รู้ว่า พระเจ้าส่งบุตรมนุษย์มา
31ราชินีแห่งทิศใต้11:31 ราชินีแห่งทิศใต้ คือราชินีเชบา อุตส่าห์เดินทางเป็นพันกิโลเมตร เพื่อจะมาเรียนรู้สติปัญญาของพระเจ้าจากกษัตริย์ซาโลมอนดูใน 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-3ก็เหมือนกัน ในวันตัดสินโทษพระนางจะลุกขึ้นมาพร้อมกับพวกคุณที่อยู่ในสมัยนี้และประณามพวกคุณ เพราะนางอุตส่าห์เดินทางมาจากสุดปลายโลก เพื่อมาฟังคำสอนที่ฉลาดปราดเปรื่องของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนก็อยู่ที่นี่แล้ว
32ในวันตัดสินโทษ ชาวเมืองนีนะเวห์ก็จะมาทำให้เห็นว่าคนสมัยนี้ผิดเหมือนกัน เพราะชาวเมืองนีนะเวห์นั้นได้กลับตัวกลับใจเมื่อฟังคำสั่งสอนของโยนาห์ และตอนนี้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่แล้ว
ให้เป็นแสงสว่างของโลก
(มธ. 5:15; 6:22-23)
33ไม่มีใครหรอกที่จุดตะเกียงแล้วจะเอาไปซ่อนไว้ หรือเอาถังครอบไว้ มีแต่จะเอาไปตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อจะได้ส่องสว่างให้กับคนที่เข้ามาในห้อง
34ดวงตาของคุณก็คือตะเกียงของร่างกายคุณ ถ้าดวงตาดี ทั้งร่างก็จะเต็มไปด้วยแสงสว่าง แต่ถ้าดวงตาไม่ดี11:34 ดวงตาไม่ดี หรืออาจจะแปลได้ว่า “ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภ” หรือ “อิจฉาตาร้อน” หรือ “ขี้เหนียว” หรือ “เป็นโรค”ทั้งร่างกายก็จะมืดมนไป
35ระวังตัวไว้ให้ดี อย่าให้แสงสว่างในตัวคุณกลับมืดไป
36ถ้าทั้งร่างของคุณมีความสว่างเต็มไปหมด ก็จะไม่มีส่วนไหนมืดเลย คุณก็จะสว่างจ้าไปทั้งตัว เหมือนกับมีแสงตะเกียงส่องมาที่คุณ”
พระเยซูวิจารณ์พวกผู้นำศาสนา
(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 20:45-47)
37เมื่อพระเยซูพูดจบแล้ว ฟาริสีคนหนึ่ง ก็ชวนพระองค์ไปกินอาหารที่บ้านของเขา เมื่อไปถึง พระองค์ก็ไปนั่งที่โต๊ะอาหารทันที
38ส่วนฟาริสีคนนั้นก็แปลกใจที่พระเยซูไม่ได้ล้างมือ11:38 ล้างมือ เป็นประเพณีการล้างมือทางศาสนาของชาวยิว พวกฟาริสีคิดว่าเป็นการกระทำที่สำคัญมากตามพิธีก่อนกินอาหาร
39พระองค์ก็บอกว่า “พวกคุณฟาริสี ล้างถ้วยชามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในนั้นมีแต่ความโลภ และความชั่วร้ายเต็มไปหมด
40ช่างโง่เสียจริง พระเจ้าสร้างด้านนอกและด้านในด้วยไม่ใช่หรือ
41ถ้างั้นก็ให้กับคนจนด้วยใจ แล้วทุกอย่างก็จะสะอาดบริสุทธิ์สำหรับคุณ
42น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เป็นฟาริสี คุณเคร่งครัดมากในเรื่องการถวายหนึ่งในสิบ11:42 ถวายหนึ่งในสิบ แปลว่า “ถ้ามีรายได้ 10 บาทก็ให้พระเจ้า 1 บาท”ให้กับพระเจ้า แม้แต่ใบสะระแหน่ ต้นรู11:42 ต้นรู ไม้พุ่มชนิดหนึ่งมีใบเขียวตลอดปี ดอกของมันมีสีเหลืองและมีกลิ่นแรง ใบของมันมีรสขม ในสมัยก่อนใช้เป็นยาแก้ปวด และยากระตุ้นและสมุนไพร ก็ให้จนครบถ้วน แต่พวกคุณกลับไม่มีความยุติธรรม และไม่มีความรักให้กับพระเจ้า คุณควรจะทำสิ่งนี้ไปพร้อมๆกับการถวายด้วย
43น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เป็นฟาริสี คุณชอบนั่งในที่อันมีเกียรติในที่ประชุม และชอบให้คนยกมือไหว้ที่ตลาด
44น่าละอายจริงๆพวกคุณเป็นเหมือนหลุมศพที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ ที่คนเดินเหยียบย่ำไปมาโดยไม่รู้ตัว”11:44 น่าละอาย … โดยไม่รู้ตัว ตามกฎของโมเสส คนที่แตะต้องหลุมฝังศพจะไม่สามารถมีส่วนร่วมในพิธีนมัสการพระเจ้า ในข้อนี้พระเยซูบอกว่าพวกฟาริสีทำให้คนไม่สามารถเข้ามาหาพระเจ้าเหมือนกัน ดูเพิ่มเติมได้จาก กันดารวิถี 19:16; มัทธิว 23:15
45คนที่เก่งกฎปฏิบัติคนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์พูดอย่างนี้ ก็เท่ากับดูถูกพวกเราด้วย”
46พระเยซูจึงตอบว่า “ใช่แล้ว พวกคุณที่เก่งกฎปฏิบัติ ก็น่าละอายจริงๆเพราะพวกคุณออกกฎที่เป็นภาระหนักอึ้งให้คนอื่นแบกไว้ แต่ตัวเองไม่คิดที่จะช่วยแบกแม้แต่นิ้วเดียว
47น่าละอายจริงๆเพราะคุณสร้างอนุสาวรีย์สำหรับผู้พูดแทนพระเจ้าที่บรรพบุรุษของพวกคุณเป็นคนฆ่า
48แสดงว่าพวกคุณเห็นดีด้วยกับสิ่งที่บรรพบุรุษของคุณได้ทำไป พวกเขาฆ่า พวกคุณก็สร้างอนุสาวรีย์ให้
49เพราะอย่างนี้ จึงมีสติปัญญาของพระเจ้าบอกไว้ว่า ‘เราจะส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกทูตพิเศษ ไปให้พวกเขา ซึ่งบางคนก็จะถูกพวกเขาฆ่า และบางคนก็จะถูกข่มเหง’
50คนสมัยนี้จะต้องถูกลงโทษสำหรับเลือดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคน ที่ถูกฆ่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมา
51นับจากเลือดของอาเบล จนถึงเลือดของเศคาริยาห์11:51 เลือดของอาเบล … เศคาริยาห์ พระคัมภีร์ของชาวอิสราเอล บอกว่าอาเบลเป็นคนแรกที่ถูกฆ่า และเศคาริยาห์เป็นคนสุดท้ายที่ถูกฆ่าที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับวิหารของพระเจ้า ใช่แล้ว เราจะบอกให้รู้ว่า คนในสมัยนี้นี่แหละที่จะต้องถูกลงโทษสำหรับเลือดของคนพวกนั้นทุกคน
52น่าละอายจริงๆพวกคุณที่เก่งกฎปฏิบัติ เพราะคุณเอากุญแจที่จะไขความรู้ไป แต่ตัวเองไม่ยอมเข้าไป แล้วยังขัดขวางคนอื่นที่กำลังจะเข้าไปอีกด้วย”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (ขจง)
© 2015 Bible League International
แผนที่, รูปภาพ © 2012-2013 Bible League International
ข้อมูลอื่นๆ ที่เพิ่มเติม © Bible League International
สงวนลิขสิทธิ์